โรคฉี่หนู...เรื่องมันไม่เล็กๆๆ เหมือนหนูๆๆๆ นะคะ...

"ขึ้นชื่อว่าโรคฉี่หนูแล้วก็เชื่อว่าไม่ต้องบอกอะไรกันอีกก็รู้ว่าพาหะของโรคนี้คือหนูสายพันธุ์ต่างๆ
ที่ไม่ว่าจะเป็นหนูสีขาวตัวน้อยน่ารัก
หรือแม้แต่หนูท่อตัวใหญ่สีดำที่พบดาษดื่นในเมืองกรุง"
“โรคเลปโตสไปโรซิส” หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ โรคฉี่หนู เป็นโรคๆ
หนึ่งที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนไทยมาก
โดยเฉพาะกับเกษตรกรที่ต้องฝากชีวิตไว้กับหัวไร่ปลายนา
เรื่อยไปจนถึงเจ้าหน้าที่ในโรงฆ่าสัตว์ สัตวแพทย์ หรือแม้แต่นักกีฬาทางน้ำ
ที่เชื้อเลปโตสไปร่าอาจเข้าสู่ร่างกายได้โดยไม่รู้ตัว
การติดต่อของ โรคฉี่หนู เล็ปโตสไปโรสิส Leptospirosis
สัตว์ที่นำเชื้อได้แก่ พวกสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู โดยเฉพาะ หนูนา
หนูพุก รองลงมาได้แก่ สุนัข วัว ควาย
สัตว์พวกนี้เก็บเชื้อไวในไตเมื่อหนูปัสสาวะเชื้อจะอยู่ในน้ำหรือดิน
เมื่อคนสัมผัสเชื้อซึ่งอาจจะเข้าทางแผล เยื่อบุในปากหรือตา
บางรายงานระบุผิวหนังปกติเชื้อก็สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ คนรับเชื้อได้ 2 วิธี

1. ทางตรง โดยการสัมผัสสัตว์ที่นำเชื้อ ระหว่างสัตว์ต่อสัตว์
หรือคนต่อคนโดยเพศสัมพันธ์
2. ทางอ้อม โดยเชื้อที่ปนในน้ำ ในดิน เข้าสู่คนทางผิวหนัง หรือเยื่อบุ ที่ตา
ปาก จมูก

อาการที่สำคัญ ของ โรคฉี่หนู เล็ปโตสไปโรสิส Leptospirosis
หลังจากได้รับเชื้อ 10-26 วันโดยเฉลี่ย 10
วันผู้ป่วยก็จะเกิดอาการของโรคซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ระยะ ระยะเชื้อเข้ากระแสเลือด
Leptospiremic เมื่อเชื้อเข้าร่างกายจะเข้าสู่กระแสเลือด ผู้ป่วยจะมีอาการดังนี้
คือ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะทันที มักจะปวด บริเวณหน้าผาก หรือหลังตา
บางรายปวดบริเวณขมับทั้งสองข้าง ปวดกล้ามเนื้อมากโดยเฉพาะบริเวณ ขา เอว เวลากด
หรือจับจะปวดมาก ไข้สูงร่วมกับหนาวสั่น
อาการต่างๆอาจอยู่ได้ 4-7 วัน นอกจากอาการดังกล่าวผู้ป่วยจะมีอาการเบื่ออาหาร
คลื่นไส้อาเจียน บางรายมีอาการถ่ายเหลว ปวดท้อง
การตรวจร่างกายในระยะนี้ที่สำคัญจะตรวจพบ ผู้ป่วยตาแดง มีน้ำตาหรือขี้ตาไหล คอแดง
มีจ้ำเลือดตามผิวหนัง บางรายมีผื่นตามตัว ระยะร่างกายสร้างภูมิ
ระยะนี้ถ้าเจาะเลือดจะพบภูมิต่อเชื้อเพิ่ม ผู้ป่วยจะมีไข้ขึ้นใหม่ ปวดศีรษะ
คอแข็งมีการอักเสบของเยื่อหุ้มสมอง

ขอขอบคุณ ที่มา

โรคฉี่หนู...เรื่องมันไม่เล็กๆๆ เหมือนหนูๆๆๆ นะคะ... Food-health-care